เรียกได้ว่า คงไม่มีใครคาดคิดว่า ผักบ้านๆ อย่าง ผักเหลียง หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า ผักเหมียง หรือ ผักเขรียง ได้รับฉายาว่า ราชินีผักพื้นบ้าน เพราะนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังเป็นพืชท้องถิ่นที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวใต้มายาวนาน หาง่ายตามตลาดท้องถิ่น ปลูกง่าย โตเร็ว และใช้เวลาปลูกเพียง 1-2 ปีก็สามารถเก็บเกี่ยวยอดอ่อนมาประกอบอาหารหรือจำหน่ายได้แล้ว จึงได้รับความนิยมจากทั้งผู้บริโภคและเกษตรกร
สารอาหารแน่น อุดมไปด้วยวิตามิน ประกอบด้วยสารอาหารสำคัญ ได้แก่:
พลังงาน 400 กิโลแคลอรี
แคลเซียม 1,500 มก.
เบต้าแคโรทีน 1,089 ไมโครกรัม (มากกว่าใบตำลึง และเกือบเท่าแครอท)
โปรตีน 6.56 กรัม
วิตามินเอ, บี 1, บี 2,ไนอะซิน และอื่น ๆ
โดยงานวิจัยระบุว่า “ใบเหลียง” มีฤทธิ์ทางยา เช่น ต้านอนุมูลอิสระ, ต้านเชื้อแบคทีเรีย, ลดน้ำตาลในเลือด, ต้านการอักเสบ, ต้านเซลล์มะเร็ง, ยับยั้งเอนไซม์ Acetylcholinesterase (เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์)
ประโยชน์ของผักเหลียง
บำรุงสายตา : ผักเหลียงมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันภาวะสายตาเสื่อม ลดโอกาสเกิดต้อกระจก และภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
เสริมกระดูกให้แข็งแรง : แคลเซียมในผักเหลียงสูงกว่านมวัวหลายเท่า จึงมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟัน เหมาะกับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กที่ต้องการเสริมการเจริญเติบโต และผู้สูงอายุที่ต้องการป้องกันโรคกระดูกพรุน
ดูแลหัวใจและหลอดเลือด : สารต้านอนุมูลอิสระในผักเหลียงช่วยลดการอักเสบภายในหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด และช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานดีขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง
บำรุงสมองและระบบประสาท : ผักเหลียงอุดมด้วยวิตามินบีหลายชนิด เช่น บี1 บี2 และไนอะซิน ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้สมองปลอดโปร่ง ลดอาการเหน็บชา และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ได้ในระยะยาว เสริมภูมิคุ้มกัน
ต้านมะเร็ง : เบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระในผักเหลียงช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
