คุณครูส่งวิดีโอลูกสาวตอนหลับกลางวันมาให้ พอมองลงไปที่มือน้อย ๆ ของลูก แม่ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่เพราะสิ่งนี้!
คุณครูเห็นภาพนั้นเข้าก็เลยถ่ายวิดีโอเอาไว้ วันนั้นขณะที่น้องเหมินเหมิน ลูกสาวของคุณจาง จากประเทศจีน กำลังนอนกลางวันที่โรงเรียนอนุบาล คุณครูก็ส่งวิดีโอคลิปหนึ่งมาให้เธอดูอย่างไม่คาดคิด
ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ หลับปุ๋ยกันหมดแล้ว ลูกสาวตัวน้อยของเธอกลับนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างเป็นระเบียบ มือสองข้างวางอยู่นอกผ้าห่มอย่างเรียบร้อย มือเล็ก ๆ ข้างหนึ่งยังตบเบา ๆ ที่ต้นขา เหมือนกำลังกล่อมตัวเองให้หลับไปได้เร็วขึ้น
ที่บ้าน การกล่อมลูกนอนเป็นเหมือน “พิธีกรรม” ประจำคืน คุณจางจะเล่านิทาน แล้วใช้มือลูบหรือตบเบา ๆ เพื่อให้ลูกสาวรู้สึกอุ่นใจและหลับสบาย แต่ที่โรงเรียน เมื่อต้องห่างอกแม่ เด็กน้อยก็จำเป็นต้องพยายามด้วยตัวเอง
ในวิดีโอ ดวงตาของเหมินเหมินยังไม่ปิดสนิท เธอเบนสายตาไปมาใต้แสงสลัว เหมือนพยายามปลอบโยนตัวเอง ด้วยการเลียนแบบสิ่งที่แม่เคยทำ
คุณครูที่เห็นภาพนี้เข้า ก็อดไม่ได้ที่จะบันทึกวิดีโอไว้ แล้วส่งให้คุณจางได้ดู เพื่อให้เธอได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของลูกสาวตัวน้อย เด็กหญิงที่แม้จะยังเล็กนัก แต่ก็กำลังพยายามปรับตัวและเติบโตอย่างเงียบงัน
เมื่อคุณจางดูวิดีโอจบ หัวใจทั้งอบอุ่นทั้งสะเทือนใจ หนึ่งคือความรู้สึกประหลาดใจ ลูกสาวที่เคยอ้อนแม่ไม่ห่างทุกคืน วันนี้กลับนอนนิ่งเงียบ กล่อมตัวเองอย่างว่าง่าย อีกหนึ่งคือการได้ตระหนักว่า ลูกกำลังเติบโตในแบบของตัวเอง เงียบงันแต่กล้าหาญ
ตั้งแต่เข้าเรียนอนุบาล เหมินเหมินต้องเรียนรู้หลายอย่าง กินเอง ใส่เสื้อผ้าเอง เล่นกับเพื่อน ๆ เอง และตอนนี้ก็ต้องกล่อมตัวเองให้หลับ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเล็กน้อยในสายตาผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งห่างอกแม่ได้ไม่นาน มันคือก้าวสำคัญที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
การนอนกลางวันที่โรงเรียนถือเป็นกิจกรรมบังคับสำหรับเด็กเล็ก เพราะช่วงเวลานี้ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต แต่ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการฟื้นฟูพลังหลังจากการเรียนรู้และเล่นในตอนเช้า ดังนั้นทางโรงเรียนจึงจัดวางเตียงนอนในหลายทิศทาง เพื่อให้เด็กแต่ละคนไม่รบกวนกันเวลาพลิกตัวหรือนอนไม่หลับ
แม้ว่าภายในวิดีโอ เราจะเห็นว่าเหมินเหมินยังไม่หลับสนิท และท่าทางกล่อมตัวเองของเธอดูเหมือนจะยังไม่ได้ผลนัก เพราะดวงตายังเบิกโพลงอยู่ แต่สำหรับหัวอกของคนเป็นแม่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะรับรู้ว่าลูกกำลังพยายาม พยายามที่จะเรียนรู้การปรับตัวและเติบโตแม้ไม่มีพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ
ทุกครั้งที่ลูกก้าวออกจากอ้อมกอดแม่ไปเผชิญโลกภายนอก คือทุกครั้งที่ลูกได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ และทุกครั้งแบบนั้น หัวใจของแม่ก็สั่นไหว ทั้งสงสาร ทั้งภูมิใจ
หลังดูวิดีโอจบ คุณจางได้แต่คิดในใจว่า “ถ้าส่งลูกไปโรงเรียนเร็วกว่านี้อีกนิด ลูกคงเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเองได้เร็วกว่านี้แล้วก็ได้”
ตอนอยู่บ้าน เหมินเหมินเป็นเด็กที่ติดแม่มาก ไม่ว่าจะกิน นอน หรือเล่น อะไรก็ต้องมีแม่อยู่ด้วยเสมอ แค่แม่ลุกหายไปจากสายตา เด็กน้อยก็ร้องไห้งอแง บางวันคุณจางแทบทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนั่งเล่นและปลอบลูก มีบ้างที่เธอเหนื่อยจนคิดในใจว่า “เมื่อไหร่ลูกจะเลิกติดแม่สักทีนะ” แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ลูกยังเล็กอยู่ ให้เวลาอีกหน่อย เดี๋ยวก็โตเอง
แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล คุณจางก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ลูกไม่ได้ “เลี้ยงยาก” อย่างที่เคยคิด ที่โรงเรียน แม้ไม่มีแม่คอยกล่อม ลูกก็หลับได้เอง แม้ไม่มีแม่ป้อนข้าว ลูกก็นั่งกินเองจนหมดจาน สิ่งที่แม่เคยต้องทำให้ที่บ้าน พอไปอยู่ที่โรงเรียน ลูกกลับทำได้เอง แถมยังทำได้ดีอีกต่างหาก
Ksenia Chernaya
คุณจางจึงได้เข้าใจว่า หลายครั้งไม่ใช่เพราะลูกไม่รู้ แต่เป็นเพราะแม่ยังไม่เคยให้โอกาสลูกได้ลอง ได้เรียนรู้ ที่บ้านลูกเคยชินกับการถูกดูแลและตามใจ จึงเกิดความเคยตัว แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีระเบียบแบบแผน มีคุณครูและเพื่อน ๆ อยู่รอบข้าง ลูกก็เริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัว รู้จักเข้าสังคม รู้จักร่วมมือ และค่อย ๆ พึ่งพาตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นบทเรียนล้ำค่าที่อยู่บ้านเพียงลำพังกับแม่นั้นไม่มีทางได้รับ
การให้ลูกไปโรงเรียนเร็วขึ้น ไม่ใช่การผลักดันลูกให้ออกไปเผชิญโลกก่อนวัย แต่เป็นการมอบ “โอกาส” อันยิ่งใหญ่ให้กับลูก โอกาสในการเรียนรู้ความเป็นอิสระ การเติบโต และในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสของแม่ด้วย… โอกาสในการก้าวถอยออกมาเงียบ ๆ แล้วเฝ้ามองลูกเติบโตอย่างภาคภูมิใจ