ผักที่คนไทยคุ้นเคย กินกันแค่หัว แต่ไม่รู้ว่า “ใบ” ก็เป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าเช่นกัน

พืชชนิดนี้พบได้ทั่วไป หลายคนมักกินแค่ส่วนราก แต่จริง ๆ แล้ว “ใบ” ของมันต่างหากคือขุมทรัพย์ ไม่เพียงอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังมีรสชาติสดอร่อยอีกด้วย

“แครอท” เป็นผักรากที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา และสามารถนำมาปรุงเป็นเมนูอร่อยได้หลากหลาย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

แครอทอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ ซึ่งสะสมอยู่ในส่วนหัวหรือรากที่เรานิยมรับประทาน โดยประมาณ 80% ของแคโรทีนอยด์ในแครอทเป็นชนิดที่เรียกว่าเบตาแคโรทีน ซึ่งมักถูกเรียกว่า “โปรวิตามินเอ” เพราะร่างกายสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นวิตามินเอได้ในลำไส้

สารอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในเนื้อหรือเปลือกของแครอท ไม่ใช่ในแกนกลาง

แคโรทีนอยด์มีบทบาทสำคัญต่อการมองเห็น แครอทถือเป็นแหล่งวิตามินเอที่อุดมสมบูรณ์ วิตามินเอช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มความสามารถของร่างกายในการต้านทานการติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีความสำคัญอย่างมากต่อดวงตา ช่วยป้องกันภาวะตาแห้ง เยื่อบุตาแห้ง กระจกตานุ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดได้

แคโรทีนอยด์ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม ชะลอความร่วงโรยของผิว และสนับสนุนการทำงานของเยื่อเมือกในระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ

แครอทยังเป็นแหล่งใยอาหารและสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ รวมถึงแคโรทีนอยด์และวิตามินซี ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ โดยเฉพาะแครอทมีส่วนช่วยควบคุมการดูดซึมคอเลสเตอรอล จึงช่วยปรับสมดุลคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ดี

อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมในปริมาณสูง ซึ่งช่วยลดระดับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ส่งผลให้สามารถควบคุมความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ระดับโซเดียมที่สูงเกินไปถือเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

สารพฤกษเคมีที่พบในแครอท เช่น แคโรทีนอยด์, กรดคลอโรจีนิก และฟอลคารินอล มีความเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิด

นอกจากนี้ แครอทยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง วิตามินบี 6 ที่มีอยู่ในแครอทก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันและการผลิตแอนติบอดี

สารออกฤทธิ์ต่าง ๆ อย่างโพลีอะเซทิลีน แคโรทีนอยด์ และแอนโทไซยานินในแครอท ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

Suzy Hazelwood

แครอทเป็นพืชที่ปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวส่วนหัวมาใช้ปรุงอาหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับการนำแต่หัวแครอทมาใช้ ขณะที่ใบนั้นมักถูกตัดทิ้งโดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ ทั้งที่จริงแล้ว “ใบแครอท” กลับอุดมไปด้วยสารอาหาร มีวิตามินหลากหลายชนิด และสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู

ใบแครอทอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ กรดโฟลิก ใยอาหาร และโพแทสเซียมในปริมาณสูง ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับดวงตา อีกทั้งยังช่วยบำรุงตับ ส่งเสริมการย่อยอาหาร แก้ท้องผูก บำรุงผิวพรรณ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สามารถนำใบแครอทไปดัดแปลงปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น ทำเป็นผักดอง ผัด ต้ม หรือนำไปเป็นไส้ของเกี๊ยวซ่า เป็นต้น

เมนูแนะนำ: ใบแครอทนึ่ง

วัตถุดิบที่ต้องเตรียม

  • ใบแครอท 300 กรัม
  • น้ำมันพืช
  • เครื่องปรุงรสตามชอบ
  • แป้งข้าวโพดชนิดไม่ผสม
  • กระเทียมสับ 3–5 กลีบ
  • พริก 1 เม็ด
  • ซีอิ๊วหรือน้ำปรุงรสในปริมาณที่เหมาะสม

วิธีทำ

ขั้นตอนที่ 1
เริ่มจากเด็ดใบแครอทที่เหี่ยวหรือเหลืองทิ้งไปก่อน แล้วล้างให้สะอาดหลาย ๆ ครั้ง สามารถแช่ใบแครอทในน้ำเกลือเจือจางสักพัก เพื่อช่วยลดสารตกค้าง จากนั้นตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ แล้วหั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 5–7 เซนติเมตร

ขั้นตอนที่ 2
นำใบแครอทที่หั่นไว้ใส่ลงในอ่างผสม ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยและเครื่องปรุงรสตามชอบ จากนั้นคลุกเบา ๆ ให้เครื่องปรุงเคลือบใบแครอทให้ทั่ว แล้วโรยแป้งข้าวโพดลงไปให้ทั่วใบแครอท จากนั้นสวมถุงมือแล้วคลุกอย่างเบามืออีกครั้ง เพื่อให้แป้งเคลือบใบแครอทอย่างสม่ำเสมอ แล้วตักใส่จานที่มีขอบลึกเล็กน้อย

ขั้นตอนที่ 3
ตั้งหม้อนึ่งบนเตา เติมน้ำแล้วต้มจนเดือด จากนั้นนำจานใบแครอทที่เตรียมไว้วางในชั้นนึ่ง ปิดฝาแล้วนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 10–15 นาที เมื่อใบแครอทสุก นำออกจากหม้อ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มที่ผสมน้ำซีอิ๊ว กระเทียม และพริกตามชอบ

เมนูใบแครอทนึ่งที่ได้จะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผัก สดใหม่ เคลือบด้วยแป้งข้าวโพดบาง ๆ ให้สัมผัสนุ่มหนึบ จิ้มกับน้ำจิ้มรสจัดช่วยเพิ่มความกลมกล่อม อร่อยแปลกใหม่และดีต่อสุขภาพ

เมื่อนำใบแครอทไปนึ่งจนสุก จะยังคงมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอย่างชัดเจน เมื่อรับประทาน คุณจะได้สัมผัสถึงความหวานละมุนจากแป้งข้าวโพด ผสานกับความเผ็ดเล็กน้อยจากกระเทียมสับและพริกสด กลายเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

วิธีการนึ่งยังช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการของใบแครอทไว้ได้อย่างครบถ้วน ทำให้เนื้อผักนุ่มหนึบ รับประทานแล้วดีต่อปอด บำรุงตับ และช่วยขับสารพิษในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top