รู้จัก “ราชาเครื่องเทศ” ตัวช่วยต้านมะเร็ง แพทย์โบราณใช้มานับพันปี สีขาว-สีดำ ต่างกันยังไง?

รู้จัก “ราชาเครื่องเทศ” ไม่ใช่แค่ชูรสอาหาร แต่มีประโยชน์นับไม่ถ้วน แพทย์อินเดียโบราณใช้เป็นยามานับพันปี  

“พริกไทยดำ” อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือแม้แต่ส่งเสริมสุขภาพสมอง พริกไทยดำถือเป็นเครื่องเทศที่ถูกใช้แพร่หลายที่สุดชนิดหนึ่งทั่วโลก ผลิตจากการบดเมล็ดพริกไทยแห้ง (peppercorn) ซึ่งได้จากผลของต้น Piper nigrum ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นเฉพาะตัว เหมาะกับอาหารหลากหลายชนิด

นอกจากความโดดเด่นด้านรสชาติ พริกไทยดำยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชาแห่งเครื่องเทศ” และถูกใช้ในตำรับอายุรเวทมานานนับพันปี เนื่องจากมีสารพฤกษเคมีที่มีคุณประโยชน์สูง ส่วนมากใช้รักษาและบรรเทาอาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ขับพยาธิ แก้ลมจุกเสียดแน่น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุแก้อาการอาหารไม่ย่อย ระงับอาการอาเจียน ผ่อนคลายอาการไม่สบายจากอาหารเป็นพิษจากอาหารทะเลและเนื้อสัตว์

ความเผ็ดร้อนของพริกไทยดำเกิดจากสาร ไพเพอรีน (piperine) ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของสารอาหารอย่างซีลีเนียมและเบต้าแคโรทีนได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ไพเพอรีนยังมีบทบาทในการลดผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการได้รับแคดเมียม และยังสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งปอดที่เกิดจากสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองได้

พริกไทยดำ vs พริกไทยขาว ต่างกันอย่างไร?

ทั้งพริกไทยดำและพริกไทยขาวมาจากต้นเดียวกัน ต่างกันที่กรรมวิธีการผลิต

พริกไทยดำ ที่เห็นเป็นสีดำก็เพราะเป็นพริกไทยที่นำมาตากแห้งโดยไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการกระเทาะเอาเปลือกออก เปลือกของพริกไทยเมื่อแห้งแล้วจึงกลายเป็นสีดำ ส่วนพริกไทยขาว จะใช้เมล็ดพริกไทยแก่จัดเกือบสุก มาแช่น้ำไว้ให้เปลือกหลุดล่อนออกจนหมด แล้วนำเมล็ดไร้เปลือกนี้มาตากแดดจนแห้ง

ในขณะที่ พริกไทยชมพู มาจากพืชคนละชนิด (Schinus molle)

สรรพคุณทางยาที่โดดเด่นของพริกไทย

  • บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ: พริกไทยช่วยขับลมและกระตุ้นระบบย่อยอาหารได้ดี
  • เสริมภูมิคุ้มกัน: ความร้อนจากพริกไทยช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เหมาะกับสภาพอากาศชื้นและหนาว
  • ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และดีท็อกซ์สารพิษในลำไส้
  • ต้านการอักเสบและลดปวด: สารสำคัญ “ไพเพอรีน (Piperine)” ช่วยลดไข้และลดการอักเสบ

พริกไทยกับสุขภาพสมองและผู้สูงอายุ

  • งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าไพเพอรีนอาจช่วยชะลออาการของโรคอัลไซเมอร์
  • ช่วยกระตุ้นตับให้ขับสารพิษ ป้องกันมะเร็งตับ
  • ลดอาการเบื่ออาหารและนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ

พริกไทยกับความงามและการลดน้ำหนัก

  • ช่วยเผาผลาญไขมัน: พริกไทยดำมีฤทธิ์ร้อน ช่วยกระตุ้นการใช้พลังงานจากไขมันเก่า
  • ควบคุมน้ำหนัก: ไม่มีสารตกค้างเพราะเป็นสารสกัดธรรมชาติ
  • ต้านอนุมูลอิสระ: ชะลอวัยและเสริมสุขภาพผิว

ผลของพริกไทยดำต่อมะเร็งเต้านม การศึกษาในระดับเซลล์

  • สาร piperine และ β-caryophyllene oxide จากพริกไทยดำ มีฤทธิ์ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเต้านม การสร้างหลอดเลือด และการแพร่กระจายของมะเร็งในห้องทดลอง
  • β-caryophyllene oxide สามารถรบกวนเส้นทางสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง
  • Piperine สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตและการเคลื่อนที่ของเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative และยังยับยั้งการแบ่งตัว พร้อมทั้งกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเต้านมชนิด HER2+ เข้าสู่กระบวนการตายของเซลล์ (apoptosis)
  • ที่ความเข้มข้นในระดับที่พบได้ในร่างกาย piperine ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติ
  • Piperine ยังช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อ curcumin ซึ่งเป็นสารสำคัญในขมิ้นชัน

การศึกษาในสัตว์ทดลอง

  • งานวิจัยในปี 2024 ที่ใช้สัตว์ทดลองเป็นแบบจำลองของมะเร็งเต้านม พบว่า สารสกัดพริกไทยดำที่มี piperine ต่ำ ในปริมาณต่ำถึงปานกลางสามารถลดจำนวนก้อนมะเร็งได้
  • ในระดับขนาดสูง แม้ไม่พบก้อนมะเร็ง แต่กลับก่อให้เกิดความเสียหายต่อตับ
  • ในปริมาณต่ำถึงปานกลาง สารสกัดพริกไทยดำสามารถลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง และทำให้ก้อนเนื้อมะเร็งมีความรุนแรงลดลง
  • อีกการศึกษาที่ใช้สารสกัดพริกไทยดำที่ไม่มี piperine กับหนู พบว่าสารสกัดยังสามารถลดการเกิดมะเร็งเต้านมที่ถูกกระตุ้นด้วยสารก่อมะเร็งได้ แสดงให้เห็นว่าสารประกอบอื่นในพริกไทยดำก็มีฤทธิ์ต้านมะเร็งเช่นกัน

การรักษามะเร็งเต้านม

  • Piperine มีรายงานว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาเคมีบำบัด ได้แก่ Adriamycin (doxorubicin)Taxol (paclitaxel) และ 5-FU รวมถึงการรักษาด้วย tamoxifen และ รังสีบำบัด
  • ตัวอย่างเช่น งานวิจัยหนึ่งพบว่า การให้ piperine ก่อนการใช้ Taxol เพิ่มฤทธิ์การฆ่าเซลล์มะเร็งในเซลล์ชนิด HER2+

ข้อควรระวัง

  • ผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวาร และโรคกระเพาะควรจำกัดการบริโภคพริกไทย เพราะอาจกระตุ้นอาการให้รุนแรงขึ้น
  • ควรระวังการใช้พริกไทยในปริมาณมากในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีไข้ เนื่องจากเป็นการเพิ่มความร้อนภายในร่างกาย และอาจทำให้เกิดการแท้งได้
  • ควรระวังการใช้ร่วมกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin
  • ควรระวังการรับประทานพริกไทยในปริมาณมากร่วมกับยาในกลุ่มสารกันเลือดเป็นลิ่ม (anticoagulant) และ ยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (antiplatelets)

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top