วันที่ 30 พ.ค. 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้แทนของธนาคารเกียรตินาคิน ร่วมกันจับกุม น.ส.นุชรีย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่แผนก นักวิชาการเงินและบัญชี กองการคลังเทศบาลแห่งหนึ่ง, น.ส.จุฬาพร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี เจ้าหน้าที่นักจัดการงานทั่วไป และ น.ส.อมรรัตน์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 3106-308 /2568 ลงวันที่ 27 พ.ค.2568 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง, ปลอมและใช้เอกสารปลอม, มีไว้ ใช้ และใช้เบิกถอนเงินสด ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คนได้ภายในสำนักงานเทศบาลแห่งหนึ่ง พื้นที่ จ.พิจิตร พร้อมของกลางใบแจ้งหนี้จากธนาคารต่าง ๆ ระบุชื่อบุคคลอื่น 507 ฉบับ, บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดของบุคคลอื่น 116 ใบ, สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลอื่น 35 ชุด และเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง
พล.ต.ต.วิทยา กล่าวว่า เมื่อกลางปี 2567 ผู้ต้องหาทั้งสามซึ่งทำงานอยู่ที่เทศบาลแห่งหนึ่งใน จ.พิจิตร ออกไปพบกับกลุ่มชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้มีรายได้น้อย อ้างว่าจะทำเอกสารเพื่อขอสิทธิรับเงิน หรือสิ่งของช่วยเหลือจากทางราชการให้ พร้อมขอเอกสารประจำตัว ข้อมูลบัญชีธนาคาร และเอกสารอื่น ๆ ไป
หลังจากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมกันทำเอกสารปลอม โดยการตัดต่อภาพใบหน้าจากบัตรประชาชนไปใส่เครื่องแบบข้าราชการ ออกหนังสือรับรองเงินเดือนว่าเป็นพนักข้าราชการ และปลอมรายการเดินบัญชีว่ามีเงินหมุนเวียนหลายหมื่นบาท
จากนั้นก็ส่งข้อมูลไปยังธนาคารต่าง ๆ เพื่อขออนุมัติบัตรสินเชื่อเงินสด (บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด) ซึ่งเมื่อมีการอนุมัติบัตรแล้ว และส่งบัตรกดเงินสดในนามของเหยื่อมาที่เทศบาลที่ผู้ต้องหาทั้งสามทำงานแล้ว ก็จะมีการนำบัตรดังกล่าวไปกดเงินสดออกมานำไปใช้จ่ายส่วนตัว
ด้าน พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ กล่าวว่า ต่อมาธนาคารเกียรตินาคินภัทร และธนาคารกสิกรไทย มีการตรวจพบกลุ่มลูกค้าที่มีสถานที่ทำงานอยู่ในสำนักงานเทศบาลเดียวกันที่ จ.พิจิตร ประมาณ 40 ราย ที่ยื่นขอสมัครสินเชื่อบัตรกดเงินสด
โดยพบข้อพิรุธว่าอาจมีการทุจริต จึงลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่มีรายได้น้อย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และไม่ได้เป็นผู้สมัครสินเชื่อดังกล่าวจริง จึงเข้าแจ้งความที่กองปราบฯ เพืีอทำการสืบสวนสอบสวนก่อนเข้าจับกุมดังกล่าว
สำหรับพฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องหาทราบด้วยว่า ร่วมก่อเหตุมาตั้งแต่ปี 67 ซึ่งเมื่อได้บัตรมาก็จะนำไปกดเงินสดออกมาจนเต็มวงเงินที่ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 หมื่นบาท ความเสียหายที่พบในขณะนี้ประมาณ 2 ล้านบาท สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้ธนาคารตรวจจับความผิดปกติของบัญชี กลุ่มผู้ต้องหาก็จะใช้วิธีชำระหนี้อัตราขั้นต่ำเพื่อป้องกันการถูกตรวจสอบจากธนาคารอีกด้วย
จากการสอบสวน น.ส.นุชรีย์ ยอมให้การรับสารภาพว่า ตนต้องการหาเงินไปใช้หนี้นอกระบบ บางส่วนก็นำเอาไปเล่นพนันหวยออนไลน์ ส่วนน.ส.จุฬาพร และน.ส.อมรรัตน์ นั้นขอให้การปฏิเสท จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.ดำเนินคดีต่อไป